โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน ..
เด็กหนุ่มหัวเกรียนเรียน รด. เพื่อเป็นกำลังสำรอง แต่เมื่อกำลังสำรอง ต้องถูกเรียกมาบรรจุเป็นกองประจำการ กับสงครามที่ทุกคนสร้างขึ้นมา โดยไม่รู้ตัว
ผมเป็นทหารกองหนุนตำแหน่งพลสื่อสาร ยศสิบตรีจากจังหวัดหนึ่งในภาคตะวันออก ผมก็เป็นเหมือนวัยรุ่นๆ หลายๆคน ที่เรียน รด.เพื่อเป็นประสบการณ์ชีวิต ฝึกตัวเอง และไม่อยากเกณฑ์ทหาร แต่แล้ววันหนึ่งหมายเรียกก็มาถึงผม ในวันที่กองทัพขาดแคลนกำลังพล ทางกองทัพจึงต้องเรียกกองหนุนเข้าไปประจำการ ผมได้พบปะกับเพื่อนๆ หลายๆคนอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งได้แยกย้ายกันไปเรียนตามความฝันของตัวเองในสาขาต่างๆ ทุกคนมารวมกันที่นี่หมด เพื่อนสมัยเรียน รด. ณ กองพลทหารราบที่ 11 รักษาพระองค์ จะขาดก็เพียงพวกที่ไปเรียนนายร้อย และนายสิบทั้งหลาย แต่ช่างมันเถอะ ชะตากรรมพวกนั้นคงไม่ต่างกับพวกเรา
พวกเราเริ่มรู้ตัวกันว่าจะถูกเรียกมาประจำการกันตั้งแต่เหตุการณ์เช้าวันนั้น รัฐบาลตัดสินใจใช้กำลังตำรวจเข้าสลายการชุมนุม ภาพนี้ออกอากาศไปทั่วโลก ตำรวจมีเพียงโล่ และกระบอง มีหน่วยคอมมานโด กับพลแม่นปืนคอยคุ้มกันตามจุดสูงข่ม
พวกเขาเริ่มประกาศผ่านเครื่องกระจายเสียง และมีป้ายข้อความเตือนแสดงให้ผู้ชุมนุมเห็นขั้นตอนการเข้าสลาย แต่ก็เหมือนการยั่วยุ พวกเขาวิ่งเขาโถมใส่กำลังตำรวจอย่างบ้าคลั่ง ตำรวจแถวหน้าเริ่มใช้โล่ผลักดันผู้ชุมนุม แถวสองดันแถวแรก พร้อมเคาะโล่ขู่ให้เกิดเสียง แต่ก็ไม่เป็นผล พวกเขาเริ่มฉีดน้ำแรงดันสูงใส่ผู้ชุมนุมประท้วง และยิงแก๊สน้ำตาใส่ และในตอนนั้นเอง ระเบิดเพลิง ระเบิดปิงปอง ถูกเขวี้ยงเข้าใส่เจ้าหน้าที่ตำรวจ และเสียงปืนนัดแรกได้ดังขึ้น …. ตำรวจระดับยศพลตรีล้มลงจมกองเลือดบนรถเครื่องขยายเสียงที่ประกาศของฝ่ายตำรวจ
การประทะเริ่มรุนแรงขึ้น คอมมานโดเริ่มหาที่มาของคนยิงกระสุนนัดนั้น เขาพบ และขอคำสั่งยิง มือปืนคนนั้นล้มลง แต่ไม่นานเจ้าหน้าที่พลแม่นปืนก็ขาดการติดต่อไปอีกคน ฝ่ายผู้ชุมนุมประโคมข่าวว่าเจ้าหน้าที่รัฐทำร้ายประชาชน ด้วยทุกสิ่งที่เขามี นั่นคือ “สื่อ” สื่อทุกสำนักรายงานไปในทิศทางเดียวกัน ว่าตำรวจยิงประชาชน แต่ในทางกลับกัน สื่อต่างชาติได้รายงานทุกสิ่งที่เขาเห็น ออกไปสู่สายตาชาวโลก เพราะเขาไม่ได้มีส่วนได้ส่วนเสียอะไรในเกมการเมืองนี้ แต่ก็สายไปเสียแล้ว ผู้คนเริ่มลุกฮือ เริ่มมีการประท้วง ก่อจลาจล ปล้นสะดม บ้านเมืองไร้ขื่อแป ทุกอย่างดูเลวร้ายลงไป โดยมีศูนย์กลางความขัดแย้งอยู่ที่ กรุงเทพมหานคร
กองร้อยของพวกเราถูกส่งไปประจำการที่จังหวัดสมุทรปราการ โดยมีผมและเพื่อนอีก 5-6 นายคุมกำลังทหารเกณฑ์กองประจำการที่เหลืออยู่ ตลอดเส้นทางที่รถบรรทุกทหารวิ่งผ่านเต็มไปด้วยซากปรักหักพังของอาคารบ้านเรือน รถยนต์ที่ถูกเผาไฟ เปลวเพลิงลุกลามอยู่ตามสิ่งก่อสร้าง ภารกิจของเราคือตรึงกำลังรักษาความสงบตามแนวพื้นที่ที่รัฐบาลพลัดถิ่นได้ประกาศ คือพื้นที่แนวยาวตั้งแต่ปากแม่น้ำบางปะกงขึ้นไปถึงพื้นที่รอยต่อของกรุงเทพและจังหวัด นครนายก ปทุมธานี ราชบุรี และเพชรบุรี
เมื่อถึงที่หมาย รถของพวกเราถูกระดมยิงจากกลุ่มติดอาวุธคาดผ้าสัญลักษณ์ของฝ่ายต่อต้าน และกองทหารอีกหมวดหนึ่ง ที่ติดอาร์มเป็นธงไตรรงค์เหมือนกับเราแต่พันผ้าผันคอสีเดียวกับฝ่ายต่อต้าน พวกเรารีบโดดลงจากรถบรรทุกและหาที่กำบัง ผมรีบวิทยุกลับไปยังศูนย์เพื่อขอคำสั่ง ทหารเกิดมาเพื่อทำตามคำสั่ง เมื่อขาดคำสั่ง เราก็เหมือนแค่ก้อนหิน
สิบตรีกองหนุนหยิบวิทยุสนามขึ้นมาหลังที่กำบังที่เป็นตึก และสภาพภูมิประเทศที่เป็นเมือง พวกเขาถูกฝึกมาเพื่อรบในป่าตามแบบ การรบในเมืองจึงลำบากอยู่พอสมควร แต่ทำยังไงได้หล่ะ
” บางปะกง 45 เรียก บก.ภาค 2 บางปะกง 45 เรียก บก.ภาค 2 เราถูกโจมตีโดยกองกำลังติดอาวุธไม่ทราบสังกัด อาจเกิดการเข้าใจผิด การแต่งกายเหมือนพวกเรา “
“ อาจเป็นทหารฝ่ายกบฏ อนุญาตให้ยิงได้ในทันที ย้ำ ยิงได้ในทันที ฮ.สนับสนุนจะถึงในอีกครึ่งชั่วโมง เราต้องส่งกำลังบำรุงหลายจุด รักษาแนวไว้ทหาร เลิกการติดต่อ ”
บก.เรียกทหารอีกฝ่ายว่า “กบฏ” อะไรคือเครื่องแบ่งแยกว่าใครคือฝ่ายถูก ใครคือกบฏ ใครคือทรราช เขาคนนั้นว่ามาหรือ คนนี้ว่ามาหรือ ผมนิ่งอึ้งไปชั่วขณะหนึ่ง จนมีเพื่อนอีกคนมาเขย่าตัว
“ มึงโอเคไหม บก.ว่าอย่างไรบ้าง ”
“ อนุมัติคำสั่งยิง รักษาที่ตั้ง อย่าทำร้ายคนบริสุทธิ์ ”
ผมถ่ายทอดคำสั่งพลางส่งสัญญาณไปยังพลขับ ให้จัดแถวรถในรูปแบบปิดกั้นถนนเพื่อกำบัง ครึ่งชั่วโมงต่อมาเสบียงและกระสุนก็มาถึง โดยถูกทิ้งลงมาจากเฮลิคอปเตอร์จากระดับพ้นจากวิถีกระสุน และบินใต่ระดับขึ้นหายขึ้นไปบนทองฟ้าสีครึ้ม
เหตุการณ์ปะทะยังคงถูกรายงานเข้ามาอย่างต่อเนื่องผ่านวิทยุสื่อสาร จากหมวดปืนเล็กต่างๆ เช่นกัน ทุกๆ ที่ตามแนวเขตกันชนที่ผมกล่าวไปเป็นแบบนี้หมด ก่อนหน้านี้รัฐคุมเหตุจลาจลไม่ไหว จึงประกาศกฎอัยการศึก แต่ก็ไม่สามารถทำอะไรได้ ฝ่ายต่อต้านจึงประกาศตนเป็นรัฐอิสระจากรัฐบาล และเรียกให้ข้าราชการ ทหาร ตำรวจที่มีความเห็นเหมือนกันกับตนไปรายงานตัว โดยประกาศถือครองพื้นที่อาณาเขตทั้งหมดในภาคใต้ขึ้นมาถึงกรุงเทพมหานครและเขตกันชน
อีกทั้งประกาศไล่ล่าครอบครัวนายกรัฐมนตรีและพี่ชาย ทำให้รัฐบาลต้องประกาศตั้งรัฐบาลพลัดถิ่นอยู่ที่จังหวัดเชียงใหม่ และเช่นกัน เรื่องราวทั้งหมดอยู่ในสายตาของชาวโลก สื่อต่างๆ รายงานกันสดตลอด 24 ชม. หลายชาติต่างออกมาประณาม และพยายามให้กองกำลังรักษาสันติภาพเข้ามาแทรกแทรง แต่ก็เหมือนกรณีความขัดแย้งอื่นๆ อย่างที่อียิปต์ และซีเรีย พวกเขาเลือกที่จะวางเฉย ทำตัวเป็นวีรบุรุษยืนมือเข้ามาช่วยเมื่อถึงจุดที่แตกหักที่สุดไปแล้ว ภาระจึงมาตกอยู่ที่กำลังที่เหลือของรัฐบาลและยังสามารถสั่งการได้
หลายสัปดาห์ผ่านไป สถานการณ์ยังไม่ดีขึ้น และมีทีท่าว่าจะเลวร้ายลงไปทุกที เมื่อครู่ก็พึ่งมีเครื่องบินขับไล่ของฝ่ายรัฐบาลคือเอฟ-16 และของฝ่ายต่อต้าน คือยาส-39 บินผ่านเหนือน่านฟ้า
หลายครั้งที่ผมต้องออกไปลาดตระเวนตามแนวรั้วลวดหนามที่เราวางไว้ เรามักจะถูกซุ่มโจมตีจากอีกฝ่ายที่พังรั้วลวดหนามฝ่าเข้ามาจนเราต้องโอบตีให้พวกเขาถอยข้ามแนวกลับไป ผมก็ไม่รู้ว่าพวกเราไปทำอะไรให้เขาเจ็บช้ำ เขาถึงได้เกลียดพวกเราขนาดนี้ ผมได้ยินเขาตะโกนมาไกลๆ ว่าไอพวกขี้ข้าคนโกง
ว่าไปคุณก็คน ผมก็คน ผู้นำฝ่ายต่อต้านของคุณหน้าฉากอาจจะดูเหมือนพ่อพระมาโปรด แต่ความจริงอาจจะโกงว่าคนที่คุณกล่าวหาก็ได้ ผมก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าเรามาถึงจุดจุดนี้ได้อย่างไร วันที่บ้านเมืองแบ่งออกเป็น 2 ขั่วความคิด จนต้องตัดสินกันด้วยกระสุนปืน ผมได้แต่เฝ้าภาวนาทุกครั้งให้เสียงที่ ว.0 คำสั่งมา เป็นคำสั่งถอนกำลัง กลับบ้าน และผมก็หวังเช่นเดียวกันว่า กระสุนแต่ละนัดที่ผมยิงออกไปทุกครั้ง ขอให้มันเป็นนัดสุดท้ายของสงครามความขัดแย้งในครั้งนี้
เรื่องทั้งหมดนี้เป็นเรื่องที่แต่งขึ้น เพื่อเป็นงานเรื่องสั้นส่งอาจารย์
ผมเห็นว่ามันโอเคดี เลยมาลงให้อ่านกัน เคยโพสลงเป็นเรื่องสั้นในเว็บ Dek-D มาแล้วหนนึง
เคยโพสลงเป็นเรื่องสั้นในเว็บ Dek-D มาแล้วหนนึง
เผยแพร่ครั้งที่ 2 ที่ storylog.co และแก้ไขเพื่อลงในนี้อีกครั้งเป็นครั้งที่ 3
หลังเหตุการณ์ที่นครศรีธรรมราชใน 6 ปี ให้หลังที่ได้เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อปี 2557
ภาพประกอบ : หลังเหตุการณ์สลายการชุมนุมนักศึกษาที่แยกปทุมวัน 16 ตุลาคม 2563