“… นี่ฉันเองคนนี้นี่ฉันเองคนเดิมที่ยังรักเธอ …” ท่อนแรกของเพลงก็พาให้เสียดสีหัวใจพอแล้วยิ่งประกอบไปด้วยเอ็มวีของเพลงนี้อีกใช่ เอ็มวีนี้คืออีกส่วนประกอบที่ทำให้เรื่องราวของบทเพลงชัดเจนขึ้น เพราะสถานที่เหล่านั้นเราเคยใช้ชีวิตอยู่ที่นั่นจริงๆสถานที่ที่ระบุในการ์ดเชิญไปงานแต่งของปอนด์พระเอกของเรื่องราวนี้นั่นแหล่ะ “… นี่ฉันรอที่จะได้เจอ ฉันรอที่จะพบเธอไม่ว่านานเเค่ไหนน …” อันที่จริงเรื่องราวในตอนนั้นเราก็เคยเขียนลงในนี้แล้วแหล่ะแต่เพลงและเอ็มวีนี้เหมือนมันสะกิดสะเก็ดแผลเก่าให้มันกลับมารู้สึกอีกครั้งหนึ่ง เราเคยรู้สึกว่าถึงแม้เราจะไม่ได้รักกันเหมือนเดิมแล้วอย่างน้อยเราก็ยังคงเป็นเพื่อนกันได้อยู่แต่แล้วก็เป็นที่ตัวเราเองนี่แหล่ะ ที่ทำให้เธออึดอัดแล้วมันก็จบลงด้วยการไม่เห็นกันอีกต่อไป “… นี่ฉันรอที่จะได้เจอ ฉันรอที่จะพบเธอไม่ว่านานเเค่ไหนน …” เราเจอกันล่าสุดเมื่อตอนทริปของห้องหลังเรียนจบมัธยมมาได้แล้วหลายปีเราดีใจมากที่เธอมาทริปครั้งนี้ด้วยถึงแม้จะไม่ได้เดินทางมาด้วยกันแต่แรกแต่ก็ยังได้มาเจอกันที่นั่น แม้จะช่วงเวลาสั้นๆ ก็ตามก่อนจากกันเราขอให้เธอปลดบล็อกและกลับมาเป็นเพื่อนกัน (ในเฟส) เหมือนแต่เก่าและนั่นก็เป็นครั้งสุดท้ายที่เราได้ไปเจอเธอ “… นี่ฉันเองคนนี้นี่ฉันเองเธอยังจำกันได้รึเปล่า …” เธอไม่เคยเลือนหายไปจากความทรงจำเลยไม่เคยเลยจริงๆ ไม่ใช่เลือกที่จะไม่ลืมแต่มันยังคงอยู่ตรงนั้น ไม่หายไปไหนสักที คำว่าส่วนลึกของจิตใจของเธอตอนนี้มันกลายเป็นความรู้สึกของเราไปแล้วความรู้สึกที่ไม่สามารถลบออกไปได้ “… นี่ฉันเองก็ยังได้ข่าว ยังพอรู้ถึงเรื่องราวนี้่ฉันเองคนนี้ …” ได้ข่าวว่าเธอมีแฟนตอนเรียนมหาวิทยาลัยเธอกับเขามีความสุขกันมากมายรู้สึกยินดีและรู้สึกว่าเขาโชคดีจริง ๆและรู้สึกว่าทำไมเมื่อก่อนเรางี้เง่าแบบนั้น เราเข้าไปส่องในโซเซียลที่เธอไม่ได้เราบล็อกเราตลอดจนกระทั่งวันนึงเฟสเธอหายไปจากรายชื่อเพื่อนไม่สามารถเข้าถึงได้ … เราเลยพลั้งโพสข้อความออกไปด้วยความน้อยใจหลังจากนั้นถึงได้รู้ตัวว่าคงไม่ได้พบเจอกันอีกแล้วจริงๆ นับจากนั้น เราไม่เคยเสียใจเลยนะกับสิ่งดี ๆ ที่มีให้กันตลอดเวลาที่ผ่านมาถ้าขอได้หนึ่งอย่าง เราไม่ขอให้เธอกลับมาเป็นเพื่อนเราเหมือนเดิมเราขอแค่ให้เธอให้อภัยเรากับทุกสิ่งที่เคยทำไปไม่รู้ว่าเธอยังจำได้ไหม หรือเธอไม่ใส่ใจและลืมมันไปหมดแล้ว ฉันนึงสภาพตัวเองในวันที่รู้ว่าเธอแต่งงานไม่ออกจริง ๆแต่ก็ยังคงหวังลึก ๆ ว่าเธอจะนึกถึงกันและให้ฉันไปร่วมยินดีด้วย “… ไม่รู้ว่าเธอจำได้ไหมกับเรื่องราวของเราคราวนั้นเเต่ฉันยังจดจำวันเหล่านั้นได้ดีเเละยังคิดถึง …” แค่เห็นเธอมีความสุขคือสิ่งเดียวที่ฉันต้องการลงท้ายด้วย ปล.ว่ารักและห่วงตลอดกาล นี่ฉันเองคนนี้นี่ฉันเองคนเดิมที่ยังรักเธอ .Continue reading “นี่ฉันเอง … ในความทรงจำที่ทับซ้อน .”
Author Archives: adidear
ตชด. นครบาล ภูธร : ตำรวจและความขัดแย้งทางการเมือง .
ในฐานะที่เรามีคนใกล้และคนรู้จักตัวหลาย ๆ คน เป็นตำรวจในหลากหลายหน่วย มีความเข้าใจและเห็นอกเห็นใจมาตลอดตั้งแต่ประเทศไทยเกิดวิกฤตทางการเมืองตั้งแต่ปี 2549+ เป็นต้นมา ตำรวจถูกวาดภาพให้เป็นแนวหน้าในการปะทะกับกลุ่มมวลชนทั้งสองฟากฝั่งการเมือง ถึงแม้เหตุการณ์รุนแรงครั้งนึง ตำรวจจะถูกดึงให้ถอยออกมาและแทนที่ด้วยกำลังทหารอย่างในปี 2553 จนเกิดเหตุการณ์น่าสลดก็ตาม ต้องยอมรับว่าตำรวจก็คือคนคนหนึ่งเหมือนกัน ฉะนั้นการที่รัฐออกประกาศหรือข้อบังคับให้ข้าราชการทุกหน่วยงานหรือทุกฝ่าย ไม่ว่าจะข้าราชการพลเรือน ทหาร ตำรวจ วางตัวให้เป็นกลาง แต่ในทางปฏิบัติ ลึก ๆ ในใจเขาก็จะมีการเลือกข้างอยู่ดี ว่าตนอยู่ฝ่ายไหน ไม่เว้นแม้แต่ผู้เขียนเองก็เถอะ ในฝั่งการเมืองช่วงเวลานึง ตำรวจถูกมองว่าเป็นผู้ราย เป็นขี้ข้านักการเมืองทหารคือคนดีที่เข้ามาล้างไพ่และกอบกู้ศีลธรรมอันดีของสังคม ในอีกมุมการเมืองนึง ตำรวจคือผู้พิทักษ์ประชาธิปไตย ทหารคือผู้ทำล้ายลางประชาธิปไตยและปกครองแบบเผด็จการ ไม่ว่าจะถูกมองจากมุมมองไหนฝั่งไหน ตำรวจก็ไม่มีทางที่จะทิ้งหน้าที่ในทางปฏิบัติได้ ที่เขาต้องทำตามคำสั่งของผู้บังคับบัญชาและนายเหนือหัว นอกเหนือจากผู้บังคับบัญชาจะแข็งขืนต่อคำสั่งที่ตนคิดว่าไม่ถูกต้อง ซึ่งหาได้ยากในประวัติศาสตร์ไทย อีกหน้าที่หนึ่งที่ตำรวจจะต้องทำก็คือการควบคุมฝูงชน รวมไปถึงการปราบจลาจล ก่อนที่เหตุการณ์จะควบคุมไม่อยู่จึงปล่อยให้เป็นหน้าที่ของทหาร หลายความขัดแย้งทางการเมือง ตชด. มักจะเป็นหน่วยแรกที่ถูกผลักดันให้ปะทะกับประชาชน และเป็นแนวหน้าในการปราบปรามอย่างเช่นในเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2516 แม้แต่เหตุการณ์สลายการชุมนุมครั้งล่าสุดที่บริเวณหน้าทำเนียบรัฐบาลในเช้ามืดวันที่ 15 ตุลาคม 2563 ตชด. ก็เป็นหน่วยในการเข้าดำเนินการ รวมถึงถูกพาดพิงในการใช้เป็นสถานที่ในการควบคุมตัวแกนนำนักเคลื่อนไหวเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา แล้วหน้าที่จริง ๆ ในการควบคุมฝูงชนปัจจุบันเป็นของใคร ?Continue reading “ตชด. นครบาล ภูธร : ตำรวจและความขัดแย้งทางการเมือง .”
ถ้าไข่ย้อยและดากานดามาเรียนลาดกระบัง .
พึ่งอ่านหนังสือภาคต่อของ กล่องไปรษณีย์สีแดง จบไปสดๆ ร้อนๆ จะเป็นเล่มไหนไปไม่ได้นอกจาก “ไข่ย้อย ดากานดา” ที่ซื้อมาดองนานแสนนาน กว่าจะได้อ่านเวลาก็ล่วงเลยมาหลายเดือน นี่ไม่ใช่รีวิวหนังสือเรื่องนี้ แต่ก็จะไม่สปอยด์เช่นกัน .แค่ลองตั้งคำถามกับตัวเองดูเล่นๆ ว่าเคยมีคนเขียนหนังสือแล้วมีเรื่องราวพื้นหลังเป็นสถาบันที่เราจบการศึกษามาบ้างหรือเปล่านะ … อย่างในหนังสือที่กล่าวไปข้างต้น เรื่องราวในวัยเรียนของตัวเอกทั้งสองจะอยู่ที่ มช. เป็นส่วนใหญ่ ซึ่งได้รับอิทธิพลจากผู้เขียนที่จบการศึกษาจากที่นั้น บางทีก็แอบคิดเหมือนกันว่าคนที่เขาเรียนอยู่ที่นั้น พอได้อ่านหนังสือเล่มนี้ หรือได้ดูหนังเรื่องนี้แล้ว คงจะมีอารมณ์ร่วมพอสมควร เพราะตัวละครเหล่านั้นต่างโลดแล่นอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่เขาได้อาศัยอยู่ แล้วถ้าลองเปลี่ยนเป็นลาดกระบังหล่ะ เรื่องราวมันจะเป็นยังไง .ก็คงเป็นเรื่องของหนุ่มคณะวิศวะ กับสาวคณะสถาปัตย์มั้ง อาจจะมีตัวละครอื่นจากคณะอื่น เช่นเกษตร วิทยา ครุ ว่าไปลาดกระบังนี่ก็มีโลเคชั่นสวยๆ ให้ดำเนินเรื่องได้อยู่นะ ทั้งสถานีรถไฟที่อยู่ใจกลางสถาบันทั้งสองที่ คือพระจอมเกล้า กับหัวตะเข้ ชุมชนเก่าอย่างหัวตะเข้ คลองประเวศ สถานที่ร่มรื่นและติสๆ อย่างในสถาปัตย์ มุมเดินซื้อของกินในตลาดนัดที่สถานีคนเดินพระจอมเกล้าฯลาดกระบัง ยืนอยู่บนดาดฟ้าตึกแล้วดูเครื่องบินบินลงที่สนามบินสุวรรณภูมิ คงจะโรแมนติกน่าดู ผสมด้วยบรรยากาศร้านเหล้าที่เก 4 สมัยก่อน วินมอเตอร์ไซค์ที่บินได้ไม่แพ้กวินโกล์ดทีมชาติ อันที่จริงก็มีหนังสั้นแนวๆ นี้ออกมาแล้วเหมือนกันแหล่ะ เป็นหนังที่สถาบันเป็นคนเริ่มโปรเจคขึ้นมา ชื่อเรื่องว่า รัก ณ ลาดกระบัง เป็นโปรเจคที่เหมือนจะโดนดองไปแล้ว แต่ก็ทำออกมาจนเสร็จ โดยมีคณะสถาปัตย์เป็นหัวเรือใหญ่ในการจัดทำ โดยมีเรื่องราวของสาวปีContinue reading “ถ้าไข่ย้อยและดากานดามาเรียนลาดกระบัง .”
เมื่อ MV ของผมไปโผล่ทุกช่อง
ก่อนอื่นต้องบอกตรงๆเลยว่า ตกใจมาก เพราะว่ามีพี่ที่ผมรู้จักถึงสองคนทักมาเรื่องนี้ เลยตัดสินใจเปิดทีวีมาดู ชัดเลย MV ตัวนี้ผมตัดไว้นานมากแล้ว ตั้งแต่ตอนอยู่มัธยมปลายนู้นเลย ใครจะไปคิดหล่ะว่าวันหนึ่งมันจะไปถูกใจท่านผู้นำ จนได้ออกอากาศทางโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจทุกช่องในตอนเย็นหลังเพลงชาติแบบนี้ ท้าวความไปตอนนั้นเลย ที่ตัดสินใจตัดมันขึ้นมาก็เพราะได้แรงบันดาลใจมากจากการชมภาพยนตร์เรื่องหนึ่งที่ออกฉาย ณ สถานีโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3 ในชุด หนังดังสุดสัปดาห์ เรื่อง “กองร้อยล่าผี” เมื่อวันที่ 23 มิถุนายน 2555 โดยในตอนท้ายของเรื่อง มีเพลงนี้ขึ้นมาประกอบ เลยลองหา MV ดูแล้วยังไม่มีใครทำขึ้นมา เลยลงมือทำขึ้นมา และได้กระแสตอบรับเป็นอย่างดีในช่อง และอีกแรงบันดาลใจในการทำก็คือคนในยูทูปท่านหนึ่ง ชื่อแชแนลและไอดีว่า ken00278 ซึ่งลงวีดีโอที่เขาตัดต่อเองประเภทการทหารของกองทัพไทยเรา แต่ช่วงหลังๆมีคลิปแนวนี้ออกมามากขึ้น จนในที่สุดพี่เขาก็หายไป โดยมีผลงานสุดท้ายเมื่อ 2 ปีที่แล้ว แนวทางที่ใช้ในการทำของผมและพี่เขาเหมือนกันคือใช้ซอร์สคือวีดีโอการฝึก เอ็มวี ตัวอย่างหนัง จากแหล่งต่างๆ ทั้งที่กองทัพอัพขึ้นมาเอง เหตุการณ์จริง และเซ็ทแสดง นำมาตัดต่อรวมกันให้เข้ากับเพลง แล้วให้เครดิตตอนท้าย เช่นกัน MV ตัวที่ว่านี่ของผมก็ทำเช่นนั้น และมันก็เป็นตัวแรก (และตัวเดียว) อีกด้วยที่ทำออกมาแนวนี้ คงเพราะในตอนนั้นยังมีเวลาด้วยแหล่ะมั้ง เลยทำขึ้นมาได้Continue reading “เมื่อ MV ของผมไปโผล่ทุกช่อง”
นัดสุดท้าย | Civil war
โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน .. เด็กหนุ่มหัวเกรียนเรียน รด. เพื่อเป็นกำลังสำรอง แต่เมื่อกำลังสำรอง ต้องถูกเรียกมาบรรจุเป็นกองประจำการ กับสงครามที่ทุกคนสร้างขึ้นมา โดยไม่รู้ตัว ผมเป็นทหารกองหนุนตำแหน่งพลสื่อสาร ยศสิบตรีจากจังหวัดหนึ่งในภาคตะวันออก ผมก็เป็นเหมือนวัยรุ่นๆ หลายๆคน ที่เรียน รด.เพื่อเป็นประสบการณ์ชีวิต ฝึกตัวเอง และไม่อยากเกณฑ์ทหาร แต่แล้ววันหนึ่งหมายเรียกก็มาถึงผม ในวันที่กองทัพขาดแคลนกำลังพล ทางกองทัพจึงต้องเรียกกองหนุนเข้าไปประจำการ ผมได้พบปะกับเพื่อนๆ หลายๆคนอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งได้แยกย้ายกันไปเรียนตามความฝันของตัวเองในสาขาต่างๆ ทุกคนมารวมกันที่นี่หมด เพื่อนสมัยเรียน รด. ณ กองพลทหารราบที่ 11 รักษาพระองค์ จะขาดก็เพียงพวกที่ไปเรียนนายร้อย และนายสิบทั้งหลาย แต่ช่างมันเถอะ ชะตากรรมพวกนั้นคงไม่ต่างกับพวกเรา พวกเราเริ่มรู้ตัวกันว่าจะถูกเรียกมาประจำการกันตั้งแต่เหตุการณ์เช้าวันนั้น รัฐบาลตัดสินใจใช้กำลังตำรวจเข้าสลายการชุมนุม ภาพนี้ออกอากาศไปทั่วโลก ตำรวจมีเพียงโล่ และกระบอง มีหน่วยคอมมานโด กับพลแม่นปืนคอยคุ้มกันตามจุดสูงข่ม พวกเขาเริ่มประกาศผ่านเครื่องกระจายเสียง และมีป้ายข้อความเตือนแสดงให้ผู้ชุมนุมเห็นขั้นตอนการเข้าสลาย แต่ก็เหมือนการยั่วยุ พวกเขาวิ่งเขาโถมใส่กำลังตำรวจอย่างบ้าคลั่ง ตำรวจแถวหน้าเริ่มใช้โล่ผลักดันผู้ชุมนุม แถวสองดันแถวแรก พร้อมเคาะโล่ขู่ให้เกิดเสียง แต่ก็ไม่เป็นผล พวกเขาเริ่มฉีดน้ำแรงดันสูงใส่ผู้ชุมนุมประท้วง และยิงแก๊สน้ำตาใส่ และในตอนนั้นเอง ระเบิดเพลิง ระเบิดปิงปอง ถูกเขวี้ยงเข้าใส่เจ้าหน้าที่ตำรวจ และเสียงปืนนัดแรกได้ดังขึ้น …. ตำรวจระดับยศพลตรีล้มลงจมกองเลือดบนรถเครื่องขยายเสียงที่ประกาศของฝ่ายตำรวจ Continue reading “นัดสุดท้าย | Civil war”